วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บทที่ 1 ความหมายของปรัชญาและปรัชญาศาสนา
1. ความหมายของปรัชญา
2. ความหมายของปรัชญาศาสนา
3. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท

วัตถุประสงค์ประจำบทที่ 2
บทที่ 2 ความหมายของศาสนา
1. ความหมายของศาสนา
2. ประเภทของศาสนา
3. องค์ประกอบของศาสนา
4. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท

วัตถุประสงค์ประจำบทที่ 3
บทที่ 3 คุณค่าและความหมายของศาสนา
1. บริบทเกี่ยวกับกำเนิดศาสนา
2. การอธิบายความจริงของศาสนา
3. ศาสนาจากมุมมองของผู้นับถือศาสนา
4. คุณค่าของศาสนา
5. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท

วัตถุประสงค์ประจำบทที่ 4
บทที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนา
1. ศาสนาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
2. ศาสนาในฐานะเป็นสถาบันในสังคม
3. มนุษย์กับประสบการณ์ในศาสนา
4. มนุษย์ได้อะไรจากศาสนา
5. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท

วัตถุประสงค์ประจำบทที่ 5
บทที่ 5 ความสำนึกและการแสดงออกต่อการนับถือศาสนาใน รูปแบบต่างๆ
1. การวิเคราะห์แนวคิดในการอธิบายความจริงของศาสนา
2.แนวโน้มบางประการของแนวคิดทางปรัชญาและปัจจัยที่
ส่งผลต่อความสำนึกและการแสดงออกในการนับถือศาสนา
3. การวิจารณ์แนวคิดที่ปฏิเสธ/ลดทอนคุณค่าของความจริงในศาสนา
4. การทบทวนความคิดเกี่ยวกับความจริงของศาสนา
5. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท
วัตถุประสงค์ประจำบท

บทที่ 6 สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา
1. นิยามของเครื่องหมาย สัญลักษณ์และภาษา
2. คุณค่าและความหมายของสัญลักษณ์และภาษาของศาสนา
3. การวิเคราะห์คุณค่าและความหมายของภาษาทางศาสนา
4. ความหมายของข้อความ/ภาษาที่ใช้ในศาสนา
5. ความหมายของภาษาในศาสนา
6. สรุปประจำบท
คำถามท้ายบท
วัตถุประสงค์ประจำบท

บทที่ 7 ขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์ในเรื่องศาสนาและความพยายามข้ามพ้นขีดจำกัดดังกล่าว
1. คุณค่าและความหมายของความเชื่อศรัทธาในศาสนา
2. เหตุผลกับความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนา
3. การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อศรัทธาในศาสนา
4. การนำแนวคิดของปรัชญา มาอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามหลักศาสนา
5. ตัวอย่างแนวคิดของปรัชญามาอธิบายคำสอนสำคัญอื่นๆ ของศาสนา
6. สรุปประจำบท

49 ความคิดเห็น:

zeeyooh.multiply.com กล่าวว่า...

ถามกูรูด้านปรัชญาศาสนาครับ คือถ้าผมจะบวช....


เป็นครั้งที่สอง ...

คือเมื่อปี 2550 ผมได้มีโอกาสบวชแล้ว ตอนนั้นอายุผม 25 ปี เข้าวัยเบญจเพสพอดีครับ และได้อยู่จำพรรษารวมเป็นเวลา 5 เดือนกว่า ๆ ถึงสึก ซึ่งตอนนั้น ที่ต้องสึกเพราะว่า ต้องไปซ้อมรับปริญญาครับ

ในระหว่างพรรษานั้น ผมได้รับการอบรมพระนวกะ และสอบได้นักธรรมชั้นตรี และมีโอกาสท่องบทสวดต่าง ๆ เรียนบาลีไวยากรเบื้องต้น จนคิดว่า นี่คือทางสงบแห่งชีวิตผมแล้ว (ผมไม่มีครอบครัวนะครับ หนี้สินไม่มี และทางบ้านรับราชการกันหมด)

หลัง จากสึกมา ก็รับปริญญา นับจากวันนั้นเป็นต้นมาผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลก ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้น ผมทำทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัว ได้บ้างเจ๊งบ้างตามประสาคนหนุ่มใจร้อน

แน่นอนครับ ในสมัยที่ครองสมณเพศ ลาภยศสรรเสริญมากมายก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้จริง ๆ ก็คือ ความสงบทางใจที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้งมั่นต่างหาก ตีสี่สวดมนต์ นั่งสมาธิ สายไปเรียนบาลี บ่ายนั่งสมาธิเดินจงกรม เย็นทบทวนตำราทางพุทธศาสนา

จวบจนวันนี้ 2 ปีพอดีที่ผมสึกมา ผมไม่ได้ทำงานประจำแล้ว ธุรกิจที่ทำอยู่ก็วางมือไปแล้ว ภาระทั้งหมดทั้งสิ้นไม่มี ผมคิดจะกลับไปบวชอีกครั้ง

แต่ก็ยังห่วงครับ

1. พ่อแม่ที่ใกล้เกษียณ
2. น้องสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานประจำ

เหล่า นี้คือนิวรณ์ ที่ผมควรจะต้องตัดหรือไม่ และ ผมจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม ถ้าผมจะไม่สึกอีกแล้ว และคงจะไม่มีหลานให้พวกท่านได้ชื่นชม

ขอบพระคุณมากสำหรับทุกความเห็นครับ ...
จากคุณ : ano c

เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 22:28:12

ถูกใจ : yariv_80, ใจพรานธรรม, deedang


วิเคราะห์แนวคิดของเจ้าของกระทู้
ความรู้สึกเช่นนี้ของเขาคล้าย ๆ กับความรู้สึกของเณรคริสต์อีกหลาย ๆ คนที่กำลังเดินทางอยู่ในหนทางสายเดียวกัน ที่ต่างก็คงจะเป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ “ความห่วง ความกังวล” ยังเป็นสิ่งที่มีเหมือนกัน ยิ่งด้วยความที่เราเป็นคนไทย ยึดถือความกตัญญูเป็นสำคัญ ก็อาจจะทำให้ตัดสินใจได้ยากขึ้น
เจ้าของกระทู้มีคิดที่กำลังขัดกันอยู่ภายใจตัวเอง คือ
1. การห่วงตนเอง หมายความว่า ตัวเขาต้องการที่จะปฏิบัติธรรม เพราะคิดว่าเป็นหนทางที่เที่ยงแท้ที่สุด สามารถทำให้จิตใจของเขาเองมีความสงบสุขได้อย่างเต็มเปี่ยม
2. การห่วงผู้อื่น หมายความว่า ตัวเขาไม่ได้คิดถึงตนเองมากนัก แต่ด้วยความรักที่มีต่อพ่อแม่เพื่อนพี่น้อง จึงอยากตอบแทน เลี้ยงดูผู้มีบุญคุณต่อตนเอง และผู้ที่ตนเองรัก โดยไม่คิดคำนึงว่าตนเองจะเป็นอย่างไร จะมีความสุขหรือไม่

คำตอบของผมสำหรับเจ้าของกระทู้
ขอให้แนวทางไว้เป็นสองทาง และยังแอบคิดว่าทั้งสองสิ่งที่กำลังขัดแย้งภายในตัวของท่านเจ้าของกระทู้นั้นสามารถไปด้วยกันได้ คือ
1.จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้พร้อมก่อน จนคิดว่าน่าจะหมดห่วงได้แล้ว อะไรก็ตามที่ทำให้ท่านรู้สึกห่วง พยายามเตรียมให้ครบ แล้วเมื่อคิดว่าหมดห่วง จึงออกบวช
2.ตัดสินใจออกบวชเลยทันทีที่มีความปรารถนา แล้ววางทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทุกสิ่งที่ทำ หากเป็นสิ่งดี มันก็จะได้รับการตอบแทนที่ดีเสมอ เช่น ถ้าคุณออกบวช คุณทำกรรมดี ธรรมชาติก็จะตอบแทนกรรมดีที่คุณทำเอง

นายยอแซฟ ยุทธนา วิทยานุลักษณ์
ปรศ.4 No.49-1-2509
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8483987/Y8483987.html

แสงสว่างส่องโลก กล่าวว่า...

การที่เราถูกโกงเงิน มันเป็นเวรกรรมแต่ชาติก่อนที่เราไปเอาของเค้ามา จริงเหรอคะ

ถ้ามีคนโกงเงินเรา แปลว่าชาติก่อนเราไปเอาของเค้ามา
มันเป็นเวรกรรมที่ชาตินี้เลยต้องชดใช้จริงเหรอคะ
แล้วคนที่โกงเงินเราไปในชาตินี้ เค้าจะได้รับกรรมหรือเปล่า
หรือชาติหน้า เค้าต้องมาชดใช้ให้เรา แล้วมันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่คะ
หรือต้องชดใช้กันไปทุกชาติๆ.....

ข้อคิดเห็น

ในสมัยท่านเป็นเด็ก ๆ ท่านเคยมีเพื่อน ๆ ตัวเล็ก ๆ ด้วยกันหลาย ๆ คนไหม
แล้วท่านเคยเล่นอะไรหรือแบบแกล้งกันบ้างแย่งของเล่นกันบ้างไหม
ตอนนั้น.......... บางคนก็ร้องให้กันขี้มูกโป่งก็มี

พอโตขึ้นมาแล้วท่านนึกย้อนกลับไปสมัยนั้น มันก็รู้สึกสนุกดี
และจะเห็นว่าเรื่องสมัยเด็ก มันก็ไม่ค่อยมีสาระอะไรเท่าไรจริง ๆ
และท่านก็คงไม่เก็บเอาเรื่องสมัยนั้น
มาเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตให้รกสมองในปัจจุบันนี้หรอก
จริงไหม

เรื่องอะไรที่ผ่านมาแล้ว
ก็ให้มันผ่านเลยไป
ท่านก็เพียงแต่จำไว้
เพื่อเป็นเพียงรับรู้
อะไรที่ดี ๆ ก็เก็บไว้จำไว้เพื่อคิดถึงด้วยความสุขใจ
แต่อะไรที่ไม่ดี ก็จำไว้เพียงแค่เพื่อเป็นบทเรียน
ส่วนที่เสียไปต่าง ๆ
ก็ถือว่า เป็นค่าบทเรียน
หรือเป็นค่าครูสอนนั่นแหละ

การที่ท่านถูกโกง...........
จะเพราะอะไรก็แล้วแต่
ก็ให้ท่าน.........
เพียงจำเอาไว้เป็นบทเรียน
เงินที่ถูกโกงไป........
ก็เป็นค่าครู ค่าสอนประสบการณ์

ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ท่านอย่าไปเป็นทุกข์กับมัน
อย่าไปเจ็บใจ
หรืออาฆาตพยายาทใด ๆ ทั้งสิ้น

ถ้าท่านจะถามว่าทำไมจึงถูกโกง
ถ้าท่านทำใจให้เป็นกลาง ๆ แล้ว
ท่านก็อาจจะตอบตัวเองได้ดีท่ีสุด
ว่าเป็นเพราะอะไร

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นกรรมเก่า
ที่ทำให้ท่านพบคนที่ไม่ดี
แต่ก็เป็นเพราะกรรมปัจจุบันด้วย
ที่ท่านไม่ระมัดระวังตัวให้ดี

เรื่องอย่างนี้.........
ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวท่านเอง
เพราะว่าเรื่องของกรรม.........
เป็นเรื่องเฉพาะตัว
เขาเรียกว่า กรรมใครกรรมมัน

ดังนั้น ถ้าต่อไปนี้.........
ท่านทำกรรมดีให้มาก ๆ ขึ้น
เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับท่าน
อย่างแน่นอน

ขอให้ทุก ๆ ท่านโชคดี
และเจริญในธรรม


วิเคราะห์ความคิดเห็นของเจ้าของกระทู้
เจ้าของกระทู้น่าจะนับถือศาสนาพุทธ เป็นคนที่เคยปวัดไปวาหรืออาจจะเคยเรียนบวชเณร ความคิดของเขาผูกพันธ์อยู่กับกรรมและชาติปางก่อน และต้องการการปลอบใจจากคนรอบข้างบางทีการที่ได้เขียนระบายอะไรให้คนอื่นฟังผมคิดว่ามันเป็นทางออกหรือต้องการคำแนะนำที่จะช่วยให้เกิดความสบายใจขึ้น เจ้าของกระทู้น่าจะหมดหวังภาษาพระเรียกว่า ปลง คิดแล้วก็ให้ปลงหรือปลาอยว่างคงไม่ได้แล้วล่ะ อะไรประมาณนี้ การสอนแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งของทางโลกทมากนัก

สำหรับตัวผู้เขียนแล้วมีความคิดเห็นว่า
1.การถูกโกงเงินเป็นเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์มากกว่าเป็นเรื่องของกรรม แต่หลายครั้งเรามักจะมองว่สมันเป็นเรื่องกรรมจริงๆแล้วเรื่องของความโชคร้ายมากกว่า
2.ทุกครั้งที่มีอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเราถูกผูกพักให้อยู่กับเรื่องของบุญและบาปอยู่ตลอดเวลาด้วยสังคมของศาสนาที่อยู่ในจิตใจ ผมคิดว่ามันก็เป็นวิธีการสอนอีกรูปแบบหนึ่งแต่ละศาสนาก็มีแนวทางที่แต่ต่างกันไปแตกมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเพื่อความดีสูงสุด
ชนภัทร ศุขะเนตร-49-1-2507

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

1.ปรัชญาไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป
ที่กล่าวว่า ปรัชญาไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป เพราะการแสวงหาคำตอบของปรัชญา และคำตอบที่ให้เป็นลักษณะพลวัต(Dynamic) ไม่นิ่งเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และยุคสมัย คุณค่าอันเป็นที่มาของคำตอบก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแต่ละคน นักปรัชญาต้องยอมรับความคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด ปรัชญาจึงเป็นผลของความคิดที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ไม่สำเร็จรูป ไม่ตายตัว
ปรัชญา หมายถึง ศาสตร์ที่เป็นการใช้เหตุผล ใช้สติปัญญาของมนุษย์ในการแสวงหาความจริง เพื่อมุ่งสู่ความจริงสูงสุด เป็นการศึกษาความคิดของคนในแต่ละยุคสมัย การให้ความสนใจของคนในแต่ละยุค ซึ่งเป็นการแสวงหาคำตอบเพื่อตอบคำถามว่า อะไรคือความจริง (อภิปรัชญา) เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร (ญาณวิทยา) และเราอะไรมาตัดสินคุณค่านั้น(คุณวิทยา)
ปรัชญาเป็นกระบวนการคิดในวิถีชีวิตของผู้คน เป็นกาฝึกฝนการใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล ไม่คิดเห็นหรือตัดสินใจอย่างงมงาย มีเหตุผลก็หมายถึงไม่ใช้เพียงอารมณ์ในการตัดสินใจทำ แต่การมีเหตุผลต้องควบคู่กับการมีความรัก ทั้งสองต้องไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตัดสินใจเพียงให้ถูกต้องตามกฎ จะยุติธรรมเกินไปจนหลงลืมว่าต้องใส่ใจในเรื่องของจิตใจ เมื่อความรักเป็นคุณค่าทางศาสนา ปรัชญากับเทววิทยาจึงต้องควบคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปรัชญาจึงมีหน้าที่ในการเป็นสะพานเชื่อมไม่ให้เราทำอะไรที่สุดโต่ง (Extreme) แต่มีเหตุผล และมีความรักด้วย
2.ลักษณะเด่นของปรัชญาตะวันตกและตะวันออก อธิบายและเปรียบเทียบแนวปรัชญาทั้งสอง
ลักษณะเด่นของปรัชญาตะวันตก คือจากความเป็นจริงสู่ความจริง มีลักษณะที่เป็นแนวความคิดกว้าง ๆ ที่ถกเถียงกันในเรื่องของสิ่งที่สูงสุด
ลักษณะเด่นของปรัชญาตะวันออก คือวิถีชีวิตสู่ความเป็นจริง เป็นปรัชญาท่อยู่ในวิถีชีวิตของคน แยกไม่ออกจากศาสนา
การเปรียบเทียบ ปรัชญาตะวันออกจะแยกตัวเองไม่ออกจากศาสนา ส่วนปรัชญาตะวันตกจะแยกออกจาศาสนาโดยสิ้นเชิง ไม่ข้องเกี่ยวกันเพราะปรัชญาตะวันตกจะเสนอแนวความคิด และถกเถียงในความคิดนั้น ๆ ส่วนปรัชญาตะวันออกอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน ศาสนา อย่างแยกไม่ออก นอกจากนั้นแล้วในตัวมันเองยังเสนอหนทางในการดำเนินชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดนั้นด้วย
3.ปรัชญาและปรัชญาศาสนา มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร
ปรัชญาศาสนา สัมพันธ์กับปรัชญา เพราะปรัชญาศาสนาเป็นปรัชญาประยุกต์ ที่นำเอากระบวนการคิดทางปรัชญามาคิดหาเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งปรัชญาเพียงอย่างเดียวละเลย ไม่ไม่แสวงหาคำตอบจากศาสนา จึงเป็นหน้าที่ของปรัชญาศาสนาที่จะตองคำถามเรื่อง ภาวะที่มีอยู่ ทุกสิ่งที่มีอยู่เป็นเนื้อหาของปรัชญาศาสนาเป็นภาวะหนึ่งที่มีอยู่ในสังคม ปรัชญาศาสนาเป็นการศึกษาคุณค่า และความหมายของศาสนา ในฐานะที่ศาสนาเป็นภาวะที่มีอยู่ เป็นการศึกษาที่เชื่อมโยงเอาแนวคิดทางปรัชญามาจับความคิดที่แฝงอยู่ในพิธีกรรม จารีต และคุณค่าที่เกิดจากการนับถือศาสนาด้วย
4.เราสามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับมาใช้ประโยชน์อย่างไร
ไม่ใช้ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อที่งมงาย แต่เป็นความเชื่อที่มีเหตุผล การปฏิบัติพิธีกรรมไม่ใช่ผลของศาสนาที่เป็นเรื่องเร้นลับ ไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่ทำไปเพราะกลัวว่าจะตายไปแล้วไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่มีความสุข แต่คุณค่าของศาสนาเป็นเหตุผลที่ว่า เมื่อทำความดีในโลกนี้ ผลของความดีก็อยู่ในโลกนี้ด้วย การทำความดีเป็นเรื่องการทำหน้าที่เพื่อสร้างสังคมให้เกิดความสุขในโลกนี้ ไม่ใช่ผลของศาสนาเพื่อโลกหน้า
ปรัชญาศาสนายังทำให้เข้าใจผู้อื่นไม่ตัดสินอะไรอย่างไม่มีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรที่งมงาย ต้องตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม

นายพรชัย สิงห์สา
4912529

สุพล จิรสุนทรชัย กล่าวว่า...

1. “ปรัชญาไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป” เพราะคำถามทางปรัชญาไม่ได้มีคำตอบเดียวเหมือนหมอลักษณ์ฟันธง แต่จะมีความคิดเห็นอื่นขัดแย้งเสมอ ซึ่งมีเหตุผลไม่แพ้กัน และแม้ว่าจะสามารถแบ่งประเภทปรัชญาออกเป็นแนวคิดต่างๆได้ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงไปทีเดียวว่าแนวคิดใดถูกต้อง เช่น อะไรคือความจริงสูงสุด, เข้าถึงความจริงสูงสุดได้อย่างไร, ใช้อะไรมาวัด ฯลฯ คำถามเหล่านี้มีนักปรัชญามากมายได้ให้แนวคิดไว้ แต่ก็ตัดสินไม่ได้ว่าแนวคิดใดถูกต้องที่สุด กลับแตกแนวคิดใหม่ออกไปอันเกิดจากแนวคิดเดิมอยู่เรื่อยๆ ปรัชญาจึงเป็นแนวคิดต่างๆที่สามารถนำไปคิดต่อหรือคิดแหวกแนวออกไปได้อีก

ปรัชญาในสำนวนของผมมีความหมายว่า เป็นวิธีการหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากความสงสัยของมนุษย์ โดยใช้สติปัญญาของมนุษย์ในแง่ของหลักเหตุและผล อันก่อให้เกิดคุณค่าต่อมนุษย์ ปรัชญายังเป็นการศึกษาแนวคิดทางปรัชญาซึ่งนักปรัชญาก่อนหน้าได้ให้ไว้ ซึ่งคำตอบหรือแนวคิดที่มีอยู่ไม่อาจตอบคำถามได้ถูกใจทุกคน จึงได้คิดใหม่ ต่อยอด สรุปเป็นแนวคิดของตน

2. ลักษณะเด่นของปรัชญาตะวันตก คือ เป็นปรัชญาแนวคิดเอาไว้ตอบคำถาม เกิดจากความสงสัยเป็นหลักใหญ่ มีการแจกแจงแนวคิดออกเป็นกลุ่มๆ อย่างชัดเจน แนวคิดต่างๆเกิดจากความคิดเห็นต่างกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่เน้นการปฏิบัติ แค่ได้คิดก็เกิดประโยชน์แล้ว แสดงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลและอิสระทางความคิดของมนุษย์ซีกโลกตะวันตก

ลักษณะเด่นของปรัชญาตะวันออก คือ เป็นปรัชญาแนวปฏิบัติเอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เกิดจากแนวคิดในการดำเนินชีวิตหรือสภาพสังคมเป็นหลักใหญ่ แนวคิดค่อนข้างสัมพันธ์กับแนวปฏิบัติ เช่น ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ไร้ประโยชน์หากไม่ปฏิบัติ แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคมของมนุษย์ซีกโลกตะวันออก

ข้อสังเกตในการตั้งชื่อแนวคิดปรัชญา ปรัชญาตะวันตกนิยมตั้งชื่อตามแนวคิดนั้นๆ เป็นหลัก ส่วนปรัชญาตะวันออกนิยมตั้งเป็นชื่อตามสถานที่เกิดและบุคคลผู้ให้แนวคิดนั้น

3. ปรัชญาและปรัชญาศาสนาเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ปรัชญาศาสนา ใช้วิธีการหาคำตอบทางปรัชญา(เหตุผล)ในการตอบคำถามเกี่ยวกับศาสนาในฐานะการรวมกลุ่มกันทางความคิดของมนุษย์(ความเชื่อ) ปรัชญาศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งในปรัชญาอันถูกจำแนกอยู่ในประเภท ปรัชญาประยุกต์

ถ้าจะให้อรรถาธิบายก็คงต้องหาความหมายของทั้งสองคำนี้ก่อน
ปรัชญา ความหมายตามข้อ 1 ย่อหน้าที่ 2
ปรัชญาศาสนา ความหมายตามข้อ 3 ย่อหน้าที่ 1

ทั้งสองเกี่ยวข้องกันด้วยเป้าหมาย คือ การหาความจริงที่ก่อให้เกิดคุณค่า ส่วนที่ต่างกันก็คือปรัชญามีเป้าหมายกว้างกว่าและครอบคลุมถึงปรัชญาศาสนาด้วย ปรัชญาศาสนาเน้นการตอบคำถามที่เกิดจากความสงสัยต่อสิ่งต่างๆอันประกอบขึ้นเป็นศาสนา ที่เป็นคุณค่าทางจิตใจของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม ความเชื่อ สัญลักษณ์ต่างๆ ฯลฯ เท่านั้น แต่ปรัชญาศึกษาถึงความจริงที่ก่อให้เกิดคุณค่าในส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ด้วย

4. การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
4.1. สามารถนำไปปรับใช้กับความคิดความรู้สึกของเราที่มีต่อบุคคลอื่น ในฐานะมนุษย์อันมีความคิดเห็นต่างกัน ยอมรับและเข้าใจในความต่างอันเกิดจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
4.2. เปิดใจศึกษาปรัชญาหลากแนวคิด ไม่ยึดติดอยู่กับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง เพราะเข้าใจถึงกำเนิดแนวคิดที่แตกต่างกัน ว่าเกิดในยุคสมัยและสภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน อาจไม่เห็นด้วยได้แต่ไม่ประณามว่าไม่ถูกต้อง
4.3. เข้าใจและเปิดใจรับฟังแนวคิดหรือความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต โดยไม่ถือว่าศาสนาของตนถูกต้อง อันจะก่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิด
4.4. เข้าใจและยอมรับตนเองในฐานะมนุษย์อันพึงเกิดความสงสัยต่อสิ่งต่างๆ อยู่เนืองๆ และพยายามค้นหาคำตอบ เพื่อเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของตน อันจะก่อให้เกิดคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

Glad to see him smiling and happy.

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

Remember this

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

Want to brighten Cheerful, like the others. Trapped in the past. Life has only worsened every day. Diet and regular exercise to healthy. Life is life Abstain from eating, drinking and smoking.
share post 23:55 p.m. date of 31 july 2015

Unknown กล่าวว่า...

She was worried people The truth is, life is born dead.
God gives equal You have to earn a living working She had to live so long.
Science makes you live longer, but do not want to lose your love.
share post 21:43 pm. date of 2 august 2015

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

Take care of yourself.I was worried
Share.22:52 pm.

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

Working.see you on my telephone all the day
Share 12:53 pm.

Unknown กล่าวว่า...

See you. Wait for education.in spare time.i relax it..
Share 11:51 pm. 8-8-58

Unknown กล่าวว่า...

I am tired.after work.
Share 22:04 pm.

Unknown กล่าวว่า...

The afternoon and evening will see the files and the application code.
share 15:47 pm 9-8-2558

Unknown กล่าวว่า...

Working.I am tired.after work I have dinner .and goes to bed

Unknown กล่าวว่า...

You have a good health.